เทคโนโลยี Augmented Reality หรือ AR

AR หรือ Augmented Reality เป็นเทคโนโลยีสมัยล้ำของปี 2010 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ รวมผสานเอาโลกแห่งความเป็นจริง มาผสานเข้ากับโลกเสมือน โดยสามารถถ่ายทอดผ่านทาง อุปกรณ์ฉายภาพต่างๆ ได้ เช่น Webcam, กล้องมือถือ ,Computer โดยรวมกับการใช้ software ต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะทําให้ภาพที่ฉายออกมานั้น เราจะสามารถเห็นในจอภาพจะเป็น object คนสัตว์สิ่งของสัตว์ประหลาดยานอวกาศในรูปแบบ 3 มิติ ซึ่งมีมุมมองมากถึง 360 องศา ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนายุคนี้

ฉะนั้นแล้วเทคโนโลยี AR นี้จะสามารถให้ผู้ใช้ สามารถที่จะเห็นภาพเสมือนจริงได้รอบด้านครบทั้ง360 องศา โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเดินไปยังสถานที่จริงเลยแม้แต่น้อย

หลักการของ AR มันจะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

1. ตัว Marker (บางคนเรียกว่า Markup) ต่างๆ
2. กล่อง webcam ,มือถือ หรือตัวจับ sensor อื่นๆ
3. ส่วนแสดงผล อาจเป็นจอภาพทางคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ หรืออื่นๆ
4. ส่วนประมวลผลเพื่อสร้าง object 3D เช่น software

Augmented Reality สามารถแสดงเพียงแค่ภาพสัญลักษณ์ที่เราตกแต่งเป็นรูปร่างอะไรก็ได้ทุกอย่าง แล้วนำไปทำรหัส เมื่อเราตีพิมพ์บนวัตถุต่างๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นบนอะไรก็ตาม เช่น ผ้า แก้วน้ำ กระดาษ หรือบนหน้าหนังสือหรือแม้แต่บนนามบัตร แล้วเมื่อเราส่องไปยังกล้องเว็บแคม หรือทำการยกสมาร์ทโฟนส่องไปข้างหน้าวัตถุ ที่มี Reality Browser Layar เราอาจจะสามารถเห็นภาพโมเดลของอาคารขนาดใหญ่ได้ทันที หรือเห็นสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ หรือรูปสินค้าต่างๆ รวมไปถึงเรายังสามารถเห็นรูปคนแบบที่เสมือนจริงปรากฏตัวขึ้นได้อีกด้วย และนอกจากนี้ตัวคนเหล่านี้ยังสมารถพูดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างหน้ามหัศจรรย์ เหมือนอย่างในหนัง ไซ – ไฟ ที่เราเคยดูกันนั่นเอง นี่คือสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง และทำให้ AR กลายเป็นสิ่งที่ถูกถามหากันมากขึ้นในทุกขณะ

ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีต่างๆ สามารถผสานเอาโลกความเป็นจริงเข้า กับโลกเสมือนได้ โดนผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กล้องถ่ายภาพ เข็มทิศ หรือ GPS จุดเริ่มต้นของ AR คือ โทรทัศน์ที่มีผลการแข่งขันระหว่างนัดเช่นพวกกีฬา หรือ News ticker ด้านล่างจอของช่องอข่าวต่างๆคือรูปแบบที่ง่ายที่สุดในการอธิบายความเป็น AR มันทำให้ข้อมูลที่ไม่สามารถอธิบายได้บนรูปภาพ สามารถเกิดขึ้นในโลกจริง

สิ่งสำคัญของ Augmented Reality หรือ ARคือ เมื่อลักษณะของสมาร์ทโฟนได้มีเปลี่ยนการติดต่อสื่อสารครั้งใหญ่ของโลก คือ เมื่อเราสามารถอ่านอีเมลระหว่างเดินทางสามารถใช้เฟซบุ๊ก และ Location-based services ได้นั้น อัตตราการขยายตัวการใช้งานอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้เกิดขอบเขตใหม่ๆ ของAugmented Reality หรือ ARเพราะเราไม่สามารถนำทีวี หรือแล็บท็อปไปได้ทุกที อย่างน้อยเราจำเป็นต้องใช้งานอุปกรณ์ที่พกพาได้สะดวก เช่นสมาร์ทโฟน ซึ่งเราสามารถติดตามสื่อต่างๆ รอบโลกได้โดยผ่านอุปกรณ์เหล่านี้

โดยปกติแล้ว Augmented Reality หรือ AR มักจะพบบนสมาร์ทโฟน มากกว่าคอมพิวเตอร์ หรือ แล็ปท็อปเพราะสมาร์ทโฟนมักจะอยู่ที่มือและมีกล้องติดตามมาด้วยเสมอ ซึ่งกล้องนี้เองที่เปรียบเสมือนดวงตาทำให้เรามองเห็นโลกได้ทั้งใบ เราไม่มีข้อจำกัดของการถ่ายทอดข้อมูลผ่านจอประสาทตา แต่เราไม่มีข้อจำกัดความสามารถของการใช้จอของสมาร์ทโฟน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะสามารถเห็นแว่นตาที่มองเห็นข้อมูลต่างๆ รอบตัวได้อย่างแน่นอนหากการพัฒนาระบบ  AR ยังไม่หยุดยั้ง สื่อกระบวนทัศน์จะช่วยให้ AR มีประโยชน์มากกว่าธรรมชาติ เพราะทุกวันนี้การค้าขายโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ มักจะถูกตัดสินด้วยคำว่า Smart ซึ่งคือความฉลาดของอุปกรณ์นั่นเอง แต่ว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนจะพลาดตัวเลือกสำคัญที่ใช้ในสื่อสารต่างๆ กล่าวคือ Augmented Reality สามารถนำเสนอข้อมูล ความบันเทิง และยังสามารถนำเสนอ ความรู้ได้พร้อมๆ กัน

แพลตฟอร์มของ Augmented Reality หรือ ARสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

• Location-Based คือ การใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนที่มีเข็มทิศในตัว Augmented Reality หรือ ARประเภทนี้ที่เด่นที่สุดได้แก่ Layer
• Marker หรือ Image-Based ส่วนใหญ่จะใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ ด้วยการเขียนรหัสโค้ด เพื่อให้เกิดเป็น 3D ในรูปแบบต่างๆ ตามที่ต้องการ แล้วแต่ไอเดียของแต่ละบุคคล

ในต่างประเทศเริ่มฮือฮากับ Augmented Reality หรือ AR กันตั้งแต่ปี 2551 แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ามีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่ใช้ คือ Adidas, Ford และ Mini และทั้ง 3แบรนด์ก็ได้เป็นต้นแบบของการทำ Augmented Reality หรือ AR มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมหน้าวงการสื่อต่างๆ อีกครั้ง ในปี 2552 กราฟก็พุ่งทะยานขึ้นเมื่อได้มีแบรนด์สินค้าต่างๆ หันมาให้ความสนใจหันมาทำ AR มากขึ้นชนิดที่เรียกว่าบ้าคลั่งกันเลยทีเดียว แต่ละรายก็ต่างปล่อยทีเด็ดออกมา เพื่อหวังสร้างความตื่นตะลึงและสร้าง Word – of – Mounth โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ FMCG ที่มีการแข่งขันกันอย่างสูง และวงการแฟชั่นที่รองลงมานำโดย Benetton และ Hugo Boss สำหรับในส่วนของประเทศไทยของเรานั้น มีแบรนด์จากหลายสินค้าที่สนใจนำ Augmented Reality หรือ AR มาใช้เป็นตัวกระตุ้น โดยเฉพาะรายที่เป็นพวก Big Spender และโดยส่วนมากจะเป็น Trendsetter ของอุตสาหกรรมต่างๆ บางแบรนด์นำ AR จากเมืองนอกมาดัดแปลงเช่น Pepsi , Lay, Samsung แต่บางแบรนด์ก็พัฒนาขึ้นมาเองเช่นแสนสิริ และโออิชิ ทั้งนี้แบรนด์ส่วนใหญ่ที่ให้ความสนใจคือแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าโฟกัสออนไลน์อยู่แล้ว และแน่นอนว่าเมื่อได้นำเอา AR เข้ามามีส่วนในการใช้โปรโมทสินค้า มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากในส่วนของโปรดักชั่นซึ่งมันต้องใช้ความกล้าอย่างมาก ต้องถามว่าแบรนด์เหล่านี้กล้าพอที่จะเสี่ยงหรือเปล่า เพราะว่า AR ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป วงการโฆษณากำลังตื่นตัวกับของเล่นใหม่ชิ้นนี้อย่างมาก และคาดว่าจะเป็นชิ้นโปรดไปอีกนานเลยทีเดียว และมีการบัญญัติศัพท์ของ AR ขึ้นมาใหม่ว่า ARvertisingซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่าง Augmented Realtiy + Advertising เข้าด้วยกัน ในปัจจุบันนี้แทบจะทุกสื่อไม่ว่าจะเป็นทั้งโทรทัศน์ นิตยสาร สิ่งพิมพ์ สื่อนอกบ้าน หรือแม้แต่ สื่อ ณ จุดขาย ทุกทีต่างใช้ AR เป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มความสร้างสรรค์จินตนาการในการสื่อสารให้กว้างไกลยิ่งขึ้น เพราะว่ามันสามารถทำให้เกิด Brand Engagement ได้ดี

Augmented Reality หรือ AR สามารถใช้ผสานกับสื่อต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้มีมิติที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นเช่นIntregrated Campaign นำไปใช้กับ POP สำหรับงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งจะสามารถรับรู้ฟีดแบ็กจากกลุ่มเป้าหมายได้ในทันที นอกจากนี้ยังสามารถช่วยทำให้กลยุทธ์ Viral Marketing มีโอกาสสัมฤทธิ์ผลได้มากขึ้น และสามารถสร้าง WOM ในโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี Augmented Reality ยังช่วยทำให้เกิดการตื่นตัว และการพัฒนาในแง่ของ www.ให้ดูทันสมัยเพราะว่ามีหลายแบรนด์ใช้เว็บไซต์ของตนเองเป็นช่องทางในการเล่นกับ AR ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่า Augmented Reality หรือ AR กำลังจะเปลี่ยนมิติการตลาดบทใหม่ให้กับ Digital Marketing เลยก็ว่าได้