เอามาเทียบกันตัวต่อตัว ทั้งคุณสมบัติและการใช้งาน
และแล้วก็มาถึงเวลาที่หลายคนเรียกร้องกันเข้ามานะครับ สำหรับการเปรียบเทียบแว่น VR ประจำปี 2019 หลังจากที่รอคอยการมาของ Vive Cosmos เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็เลยมีข่าวว่าจะจำหน่ายกันไม่เหมือนสิ้นเดือนกันยายนนี้ รวมไปถึงการเปิดเผยสเปคแว่นออกมาให้ชมกัน วันนี้ทางทีมงาน SiamVR เลยนำข้อมูลของแว่นที่วางจำหน่ายในปี 2019 เฉพาะรุ่นที่เชื่อมต่อกับ PC มาเปรียบเทียบกันให้เห็นเลยว่า แต่ละรุ่นนั้นมีจุดเด่นตรงไหนบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านใช้ประกอบการตัดสินใจ หากจะซื้อแว่น VR ซักตัวหนึ่งนะครับ
แต่ก่อนอื่นเราจะต้องมาดูกันก่อนว่า ในปี 2019 นี้มีแว่นอะไรบ้างที่จำหน่ายออกมา โดยจะนำแว่นที่น่าสนใจที่สุดของแต่ละค่าย มาเปรียบเทียบกัน โดยมีแว่นที่จะยกมาให้ชมกันทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
Oculus Rift S
หลังจากที่ Facebook เข้ามา Take Over บริษัทในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา Rift S ถือว่าเป็นแว่น VR สำหรับ PC ตัวแรก ที่พัฒนาออกมา ซึ่งมีการพัฒนาเพิ่มเติมจาก Rift ตัวแรกแบบก้าวกระโดด แถมยังออกมาพร้อมกับ Oculus Quest ที่เป็นแบบ Standalone และยังมีราคาที่สามารถจับต้องได้อีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติของแว่นนั้นมีดังต่อไปนี้
- ความละเอียด – 2,560 x 1,440 พิกเซล (1,280 x 1,440 พิกเซลต่อตา)
- ประเภทของจอภาพ – PenTile OLED
- อัตราการรีเฟรช – 80 Hz
- ระบบการติดตาม – 6 DOF Inside-out
- ตัวควบคุม – Oculus Touch 2nd
- ระบบเสียง – แบบลำโพงภายในตัว
- น้ำหนัก – 500 กรัม
- การเชื่อต่อ – ผ่าน USB และ DisplayPort
- ราคา – $399
- Store ที่รองรับ – Oculus Store, Steam, Viveport
HP Reverb
อีก 1 ค่ายที่มาแบบเงียบๆ แต่ก็ทำการ Sold Out ไปแล้วกับ HP ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางค่ายก็มีการปล่อยแว่น VR ในรุ่น WMR ออกมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะนำกลับมาพัฒนาเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องของความละเอียดของตัวภาพ ที่ให้มามากถึงระดับ 4K ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกในกลุ่ม WMR ที่ทำออกมา แถมยังมีราคาที่สามารถหาซื้อมาได้ง่ายๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่แว่นรุ่นนี้ถึงกับ Sold Out ไปเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งคุณสมบัติของตัวแว่นมีดังต่อไปนี้
- ความละเอียด – 4,320 x 2,160 พิกเซล (2,160 x 2,160 พิกเซลต่อตา)
- ประเภทของจอภาพ – LCD Dual
- อัตราการรีเฟรช – 90 Hz
- ระบบการติดตาม – 6 Inside-out
- ระบบเสียง – แบบลำโพงภายในตัว หรือต่อด้วยแจ็ค 3.5 mm
- น้ำหนัก – 498.95 กรัม
- การเชื่อต่อ – ผ่าน USB และ DisplayPort
- ราคา – $599
- Store ที่รองรับ – Steam, Microsoft Store, Viveport
HTC Vive Cosmos
แว่นเสมือนจริงรุ่นที่ 3 ของตระกูลกับ Vive Cosmos สำหรับ PC ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2019 ก่อนที่จะเงียบหายไปครึ่งปี และกลับมาอีกครั้งพร้อมข้อมูลการวางจำหน่าย ที่คาดว่าน่าจะเป็นแว่นที่หลายๆ คนรอคอย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Vive ตัวแรกอยู่แล้ว สำหรับตัวแว่นนั้นก็มีการพัฒนามากกว่ารุ่นก่อนๆเยอะมาก และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้าน โดยที่คุณสมบัติของตัวแว่นมีดังนี้
- ความละเอียด – 2,880 x 1,700 พิกเซล (1,440 x 1,700 พิกเซลต่อตา)
- ประเภทของจอภาพ – LCD RGB อัตราการรีเฟรช – 90 Hz
- ระบบการติดตาม – 6 Inside-out ตัวควบคุม – แบบ Optical
- ระบบเสียง – แบบลำโพงภายในตัว
- น้ำหนัก – 651 กรัม การเชื่อต่อ – ผ่าน USB และ DisplayPort หรือแบบไร้สายผ่าน Vive Wireless Adapter รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับ Smartphone
- ราคา – ไม่เกิน $900
- Store ที่รองรับ –
Valve Index
ปิดท้ายด้วยน้องใหม่ล่าสุด ในบรรดา PC VR ด้วยกันกับ Valve Index จากค่ายผู้พัฒนาเกมอย่าง CSGO และ Dota 2 หลังจากที่ปล่อยให้ค่ายอื่นนำเทคโนโลยีตัวเองไปใช้กัน ก็ถึงเวลาที่ตัวเองต้องมีแว่นออกมาแล้ว ซึ่งน่าจับตามองมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของอุปกรณ์ควบคุมที่มีการเพิ่มการใช้งานของนิ้วผู้ใช้งานมากขึ้น
- ความละเอียด – 2,880 x 1,600 พิกเซล (1,440 x 1,700 พิกเซลต่อตา)
- ประเภทของจอภาพ – LCD RGB
- อัตราการรีเฟรช – 120 Hz
- ระบบการติดตาม – SteamVR 2.0
- ตัวควบคุม – Knuckles Controller
- ระบบเสียง – แบบลำโพงภายในตัว พร้อมเชื่อมต่อผ่านแจ็ค 3.5 mm
- การเชื่อต่อ – ผ่าน USB และ DisplayPort
- ราคา – ตั้งแต่ $499 ถึง $999
- Store ที่รองรับ – Steam
ถึงเวลาเปรียบเทียบ
หลังจากที่เราอ่านคุณสมบัติของแว่นทั้ง 4 อันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องมาเปรียบเทียบกันว่าแว่นทั้งหมดนี้ ในแต่ละอันนั้นมีคุณสมบัติไหนที่โดดเด่นกันบ้าง เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ตัดสินใจกันนะครับ โดยเราจะใช้เกณฑ์ในเรื่องของการแสดงผล, ราคา, อัตรารีเฟรช และ ตัวควบคุม เป็นหลักนะครับ
การแสดงผล – HP Reverb
-เป็นแว่นที่มีความละเอียดมากที่สุด ในบรรดาแว่น VR ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด และราคาก็ไม่แรงมากจนเกินไป
ราคา – Oculus Rift S
-เป็นแว่น VR ที่สามารถจำหน่ายในราคาที่ถูกที่สุดในบรรดา PC VR ที่ยกมาเทียบด้วยกัน เหมาะสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ
อัตรารีเฟรช – Valve Index
-สำหรับอัตรารีเฟรชนั้นต้องยกให้ค่ายนี้โดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการช่วยให้ลดอาการ Motion Sickness ได้มากเลย แถมยังเพิ่มเป็น 144Hz ได้อีกด้วย
ตัวควบคุม – Valve Index
-สำหรับอุปกรณ์ตัวนี้ต้องยกให้ Valve จริงๆ เพราะมีการออกแบบมาเพื่อใช้นิ้วมือของผู้ใช้งานทั้งหมด แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่มีเกมหรือโปรแกรมรองรับมากเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าอนาคตต้องเป็นตัวที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง แถมยังสามารถซื้อแยกได้อีกด้วย
สำหรับการเปรียบเทียบครั้งนี้ ทางทีมงานไม่ได้มาชี้นำว่า แบรนด์ไหน รุ่นใด ดีกว่ากันแน่ แต่เป็นการบ่งชี้เพื่อให้ผู้อ่าน ที่กำลังมองหาแว่น VR ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่านเองอยู่ดีนะครับ